ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สำนึกตน

๒๒ ก.ย. ๒๕๕๕

 

สำนึกตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อันนี้เป็นคำถามสดเนาะ คำถามสดๆ เลย กราบนมัสการเนาะ คำถามนี้เป็นความรู้สึกนะ นี่มันเป็นความรู้สึกของคน แล้วมันจะแบบว่าพยายามรักษาความรู้สึกให้ดีๆ แล้วจะก้าวเดินไปอย่างไรไง

ถาม : หลังจากที่พบพระอาจารย์ ได้ฟังธรรมมาเรื่อยๆ โยมนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานแล้วมาคิดทบทวนพิจารณา แล้วเกิดความเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์นั้นเราสามารถทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่ว่าเราจะทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ก็ตาม แต่เราต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ มีสถานที่ที่เป็นสัปปายะในการปฏิบัติธรรม

เรื่องที่นำมาทบทวนนั้นเป็นที่สงสัยติดค้างอยู่ในใจเป็นเวลานานแล้วมีดังนี้ เมื่อปี ๔๑-๔๓ โยมต้องทำงานเกี่ยวข้องกับบุคคลต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะข้าราชการ นักการเมือง ประชาชนคนธรรมดา ได้พบเห็นเรื่องดี ไม่ดี ทุกข์ สุข ของบุคคลเหล่านี้ แล้วได้นำเรื่องราวของเขามาเป็นตัวสอนเราเองเสมอ สำหรับตัวเองเป็นคนโสดอยู่คนเดียว มีที่พักเป็นคอนโดอยู่บนชั้น ๕ อากาศดี มองเห็นทิวทัศน์รอบ เงียบสงบ สามารถนั่งทำงานหรือนั่งภาวนากำหนดลมหายใจเข้า-ออกได้เสมอ เวลาที่ต้องเดินทางก็จะนั่งเงียบอยู่คนเดียวในรถเสมอ การดำเนินชีวิตจะพบทั้งทุกข์ สุข สิ่งที่ดีและไม่ดีเหมือนคนทั่วไป แต่เป็นคนที่ช่างสังเกต และมักคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในแต่ละวัน พบว่า

๑. เวลาผ่านไป ความสุข-ทุกข์ก็เปลี่ยนไป ไม่เคยมีเรื่องใดที่คงที่ หากเรายึดติดความทุกข์-สุขนั้น เราจะเกิดความทุกข์ทวีอาจเป็นบ้า

๒. ทุกข์เพราะเราอยากมีความสุข ความสุขเกิดจากความสมหวังในอะไร ได้ตำแหน่งหน้าที่การงาน ได้งานทำ ได้อำนาจบังคับบัญชาคน ได้ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ได้เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องให้มีอาหารเลี้ยงชีวิตอื่นๆ

๓. เราเริ่มต้นที่ความอยากมีความสุขเราก็ยึดติด ถ้าเราไม่มีความอยากมี ความอยากเป็นก็ไม่ทุกข์ หรือถ้าเราอยากมี อยากเป็น ก็เลือกมีและเป็นสิ่งที่ดีๆ

๔. ความทุกข์ ความสุขเราต้องพบเสมอ แล้วมันก็ผ่านเราไป คนฉลาดย่อมไม่ยึดติด ตายเมื่อใดต่างคนต่างไป

๕. ชีวิตจริงก็ต้องเดินทางจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง เกิดการพลัดพรากตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ คุมได้เพียงตัวรู้เท่านั้นคือขณะที่ตัวเองนอน พอหลับตาลงรู้สึกทุกอย่างสงบนิ่ง ไม่ไหวตัว รู้ว่าไม่มีร่างกาย รู้ว่าไม่ได้นอนหลับ แต่เห็นแสงสว่างไปหมด มีสิ่งหนึ่งแว็บออกมา มีสิ่งหนึ่งดับแสงแว็บนั้นเร็วมาก เกิดถี่นานเท่าใดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ได้นอนหลับทั้งคืน กลางวันทำงานปกติ ร่างกายไม่อ่อนเพลีย แข็งแรง มองไปทางใดก็สว่างไสวไปหมด เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันหลายคืน เกิดความคิดว่าถ้าเราไม่ได้นอนหลับเป็นเวลาหลายคืนอย่างนี้ร่างกายจะแย่ อาจจะตายได้ ไม่รู้จะทำอย่างใด ก็ไปหายานอนหลับมากิน หายาหยอดตามาใส่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้หายไปหมดสิ้น

คำถาม

๑. เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นคือผลจากการที่โยมพิจารณาธรรมะอยู่เสมอ เราจะเรียกว่าใช้ปัญญาอบรมสมาธิใช่ไหมคะ?

๒. หลังเกิดเหตุการณ์ประหลาดหายไป ต่อมาโยมได้ติดเชื้อโรค หมอรักษาผิดพลาด รักษาไปแบบคนไข้ธรรมดา สลบไม่รู้เรื่องอยู่ ๑ คืน กว่าหมอจะรักษาถูกก็แทบตาย หลังจากหาย สติสัมปชัญญะก็เบลอ แบบทำงานไม่ได้อยู่เป็นปี แต่ก็ฝืนทนและพยายามภาวนา และคิดถึงความแปลกประหลาดที่เคยพบเสมอว่าจะมีโอกาสได้เห็นหรือไม่? ถ้าพบเห็นอีกจะทำอย่างใด?

๓. ขอให้อาจารย์ช่วยพิจารณาและแสดงธรรมด้วย

ตอบ : แสดงธรรมตั้งแต่ข้อที่ ๑ มา ตั้งแต่การดำรงชีวิต ตั้งแต่เราเห็นเวลาผ่านมา สิ่งนี้เป็นโลกียปัญญา ปัญญาคนที่มีคุณธรรมนะ เวลาเราคิดถึงมาตั้งแต่ข้อที่ ๑ ความสุข ความทุกข์ นี่เห็นความสุขของคนอื่น อำนาจ เงิน ความเป็นอยู่ การดำรงชีวิต สิ่งนี้มันเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะอะไร? เพราะเราใช้ปัญญาใคร่ครวญ ถ้าใช้ปัญญาใคร่ครวญ พอปัญญาใคร่ครวญขึ้นมาสิ่งต่างๆ ชีวิตของเรามันไม่ไปตามโลกไง

ถ้ากรณีนี้มาเทียบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในราชวัง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีใจปรารถนาที่จะออกบวช แต่พระเจ้าสุทโธทนะก็พยายามหาสิ่งต่างๆ เพื่อจะยึดเหนี่ยวไว้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในทางโลก นี่ให้นางฟ้อนรำมาฟ้อนรำ กลางคืนฟ้อนรำเต็มไปหมดเลยนะ แต่ก่อนฟ้อนรำ นี่เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้มีการละเล่นต่างๆ มาทั้งวัน ก็เพลีย ก็นอนหลับไป

ทีนี้พอนอนหลับไป นางฟ้อนก็ฟ้อนของเขาอยู่อย่างนั้น เวลาฟ้อนเสร็จจนเขาเหนื่อยมากเขาก็นอนหลับอยู่กลางที่เขาฟ้อนรำอยู่ เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะตื่นขึ้นมานะ มองเห็นนางฟ้อนรำเป็นอสุภะไปหมดเลย เป็นซากศพ หนอนขึ้นอืดหมดเลย นี้อยู่ในพุทธประวัติ ในพุทธประวัติเขาก็บอกว่าพุทธประวัติเป็นเรื่องแต่ง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อคนนอนอยู่ แล้วอีกคนมองเห็นอีกคนหนึ่งหนอนไชไปหมดเลย เห็นเป็นกองอสุภะ เห็นเป็นของเน่าเปื่อยไปหมดเลย มันเป็นไปได้อย่างไร?

นี่เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ทางวิทยาศาสตร์ ถ้าสายตาอย่างนั้นมองแสดงว่าสายตาเราผิดปกติ คนนอนหลับอยู่ เห็นเป็นซากศพเป็นของขึ้นอืด มันเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ด้วยอำนาจวาสนานะ อย่างเช่นที่เราตรึกในธรรมอยู่อย่างนี้ เราก็ตรึกในธรรมของเราอยู่ เวลาจิตมันประหวัดไป จิตมันสมดุลของมัน อาการที่มันเกิดขึ้นมันเป็นไปได้ แต่ความเป็นไปได้อย่างนี้ แต่เป็นไปได้ที่ว่าเรายังไม่มีหลักมีเกณฑ์ไง ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ การเห็นอสุภะในการภาวนานั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ

การเห็นอสุภะเพราะว่ามีสติ มีปัญญาขึ้นมา มีสมาธิ มีสติ มีปัญญาขึ้นมามันจะเป็นอสุภะ ก็รักษาอสุภะได้ เขาพิจารณาไปเขาแก้กามราคะ แต่เวลาเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้ออกบวช พวกนางฟ้อนรำเขาแสดงการฟ้อนรำอยู่ แล้วพอเขาหลับใหลไปเห็นเป็นซากศพไปหมดเลย ศาสนายังไม่เกิด ศาสนายังไม่มี มันเอาซากศพมาจากไหน? นี่มันเป็นอสุภะที่ไหน? มีใครจะไปรู้ได้? แต่ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะเห็นสภาพเป็นแบบนั้นล่ะ?

เห็นสภาพเป็นแบบนั้นเป็นเพราะธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิดเพราะจิตใจมันหดหู่ไง จิตใจมันหดหู่กับการดำรงชีวิตเพราะปรารถนาอยากจะออกบวชมาก แต่พระเจ้าสุทโธทนะก็พยายามจะรั้งไว้ พระเจ้าสุทโธทนะพยายามจะหาแต่เรื่องของดีๆ ทางโลกมาปรนเปรอ พอปรนเปรอ จิตใจมันคิดแต่อยากจะออกๆ แต่การเห็นนั้นเขาเรียกธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิดคืออำนาจวาสนาธรรมที่มันเกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่เราบริหารจัดการไม่ได้ไง นี่ธรรมมันเกิด เวลาเรานั่งสมาธิไปมันจะมีสิ่งใดที่ผุดขึ้นมาในท่ามกลางหัวใจของเรา เรามีความสงสัย นี่เขาเรียกว่าธรรมเกิดๆ มันไม่ใช่อริยสัจ ถ้าอริยสัจเกิดมันเป็นอีกกรณีหนึ่งเดี๋ยวจะพูดทีหลัง

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าเวลาเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในราชวัง นางฟ้อนรำที่มานอนเกลื่อนกลาดไปหมด มองเห็นเป็นอสุภะไปหมดเลย นี่ทางวิชาการก็บอกว่าเป็นเรื่องแต่ง เป็นนิทาน มันไม่ใช่เป็นความจริง นี่มันเป็นนิทานเพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงคนที่เคยปฏิบัติ คนปฏิบัติจะเชื่อเรื่องอย่างนี้ เรื่องอย่างนี้เห็นไหม คนเราตั้งแต่เด็กๆ มีหลายคนมากนะที่มาถามว่าตอนเด็กๆ จิตมันลง จิตมันเป็นไป มันเป็นเรื่องที่ตอบเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แล้วเขาก็สงสัยมากว่าหลวงพ่อ นี่คืออะไร? นี่คืออะไร?

สิ่งที่ว่าหลวงพ่อนี่คืออะไรมันก็เป็นอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นได้สร้างสิ่งใดมานะ อำนาจวาสนามันจะตามมา อย่างเช่นพาหิยะนะ พาหิยะที่บอกว่าเวลาที่เรือแตกมาเขาได้สร้างบุญญาธิการมานะ ที่ว่าเป็นพระแล้วขึ้นไปพิจารณาอยู่บนยอดเขาตัด แล้วถ้าใครได้เป็นพระอรหันต์ให้เหาะลงมา นี่สัญญากัน ๖ หรือ ๗ องค์จำไม่ได้แม่น เขาสัญญาขึ้นมา เขาทำพะองขึ้นไปบนหน้าผาตัด แล้วก็แกะบันไดนั้นทิ้งไป แล้วให้ภาวนา ถ้าใครภาวนาได้ให้เหาะลงมา ถ้าใครภาวนาไม่ได้ให้ตายอยู่บนนั้น

เหาะลงมาอยู่ ๒ องค์หรือ ๓ องค์ นอกนั้นตายหมดเลย นั่งภาวนาจนตาย เขาเสียสละชีวิตหมดนะ แล้วมาเกิดเป็นพาหิยะ เกิดเป็นที่เรือแตก เห็นไหม เรือแตกที่ออกจากทะเล ว่ายจากทะเลเข้ามาฝั่ง พอขึ้นฝั่งมา เพราะคนเรือแตก เรือแตกกลับมา พอขึ้นฝั่งมาเขาก็เอาใบไม้ห่ม นั่งห่มใบไม้ ชาวบ้านเขาศรัทธากันมาก พอชาวบ้านเขาศรัทธา เขากราบ เขาไหว้ เขากราบ เขาไหว้ ก็หลงตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ จนพระที่ปฏิบัติด้วยกันบนหน้าผาตัดนั้นไปเกิดเป็นพรหม เป็นอนาคามี มาเตือนไง มาเตือนว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระเจ้าสมณโคดมให้ไปหาก็ไปขอฟังธรรม พอฟังธรรมทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลยไง

นี่เขาสร้างบุญญาธิการของเขามา ถ้าจิตของเขามีบุญญาธิการมา สิ่งต่างๆ เขาจะเกิดขึ้นมาได้ เด็กๆ หรือบางคนก่อนที่จะภาวนา จิตใจจะไปพบเห็นสิ่งใดที่มันฝังใจมาก ที่มันแปลกประหลาดมาก ที่มันลึกลับมาก แต่อธิบายไม่ได้ พออธิบายไม่ได้เขาก็แปลกใจว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น? ทำไมมันเป็นแบบนั้น? แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นแล้วขึ้นมา แล้วถ้ามันเป็นโทษ มันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับเรานี่ เราก็รู้ได้ แต่สิ่งที่มันเป็นคุณ ถ้ามันไม่เป็นคุณขึ้นมา เป็นคุณขึ้นมาหมายความว่าเห็นแล้วมันแปลกประหลาดมาก มหัศจรรย์มาก แล้วมีคุณค่ามาก แต่อธิบายไม่ได้

กิเลสนี้ร้ายนัก สิ่งที่เป็นคุณ สิ่งที่เป็นประโยชน์ พอเราอธิบายไม่ได้ก็เลยเบลอเลย แล้วก็ไม่เข้าใจเลย แล้วพอพูดไปนะ มีคนปฏิบัติเยอะมากนะ ตอนนั้นมาอยู่ ๒ คน เป็นด็อกเตอร์สอนอยู่ศิลปากร เขาเป็น ๒ คนเพื่อนกัน เป็นด็อกเตอร์นะแล้วเขาป่วย พอเขาภาวนาไปเขาป่วย เขาป่วยแล้วเขาเข้าโรงพยาบาลนครปฐมนี่แหละ แล้วเขาบอกว่าพอเขาป่วย เขาหลับตาไปเห็นเป็นพวกจิตวิญญาณเต็มไปหมดเลย เพราะเขาเป็นนักภาวนาด้วย แล้วเขาก็มีความอัดอั้นตันใจมาก แล้วเพื่อนที่เฝ้าเขาอยู่ก็เป็นด็อกเตอร์เหมือนกัน ก็ถามเขาบอกว่า

“ทำไมหงุดหงิด มันมีสิ่งใดที่มันเก็บกดไว้ในใจล่ะ?”

“อู้ฮู มันรู้ มันเห็น นี่พวกเทวดาก็มา พวกอะไรก็มาเต็มไปหมดเลย”

“แล้วมันเก็บกดทำไมล่ะ?”

“เก็บกดเพราะมันรู้อยู่คนเดียว มันฝัง มันเต็มหัวใจ เหมือนเราเก็บไว้แล้วอกมันจะระเบิด”

แล้วเพื่อนเขาถามว่า “ทำไมเอ็งไม่พูดออกมาล่ะ?”

เขาบอก “พูดไม่ได้หรอก ถ้าพูดออกไปด็อกเตอร์ก็หายหมดน่ะสิ”

นี่คำว่าด็อกเตอร์คือทางวิชาการไง เขาสอนอยู่มหาวิทยาลัยศิลปากร แล้วเขามาหาเรา เขาบอกว่า เขารู้เขาเห็นไปหมดเลย เขาเห็นแล้วเขาพูดออกมาไม่ได้ พูดออกมาไม่ได้คือมันอธิบายเป็นทางวิชาการออกมาไม่ได้ แล้วเขาก็เรียนจบถึงด็อกเตอร์ แล้วเขาพูดสิ่งที่เป็นเรื่องนามธรรม สิ่งที่เป็นทางโลก มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณเขาพูดไม่ได้นะ

กรณีนี้ เพราะเขาเรียนมาทางโลกแล้วเขาต้องอธิบายได้ แต่เขาไม่มีความสามารถ เขาไม่มีความสามารถเอาสิ่งที่เขาเห็นออกมาอธิบายได้ เพราะเขารู้เรื่องวิชาการทางโลก แต่เขาไม่รู้เรื่องวิชาการทางวัฏฏะ ทางกามภพ รูปภพ อรูปภพที่จิตมันเวียนตายเวียนเกิด เขาไม่เข้าใจตรงนี้เขาถึงอธิบายไม่ได้ เขาถึงอัดอั้นตันใจไง แล้วถ้าเขาอธิบายออกไป แล้วถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมา ความเชื่อถือในตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา แล้วเขาสอนนักเรียนเยอะแยะเลย แล้วนักเรียนจะเชื่อเขาได้อย่างไรล่ะ? เขาก็ห่วงถึงอาชีพเขา เขาก็ห่วงถึงความเชื่อถือของคนอื่น เขาห่วงตรงนั้น เขาพูดออกมาไม่ได้เพราะเขาพูดออกมาแล้วมันไม่เคลียร์ไงเห็นไหม

นี่คือความเห็นของคน เพราะคำถามถามว่าสิ่งที่รู้ที่เห็นมันคืออะไร? มันคืออะไร? เราเท้าความมาให้เห็นว่าเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในราชวัง เห็นพวกฟ้อนรำมันเป็นอสุภะไปหมดเลย นั้นมันเป็นอะไร? แล้วนี่คนที่มาถามเราเยอะมาก พอเขาไปรู้ไปเห็นสิ่งใด บางคนนะแบบว่าสลบไป ใช้คำว่าสลบไป แต่ทางโลกเขาบอกว่าตายแล้วฟื้น

คนนี่ตายไปนะ หายไปหลายๆ วัน แล้วพอไปเห็นอะไรแปลกๆ นี่มาคุยกับเราเยอะ บางคนพอเวลามันหายไปเลย พอมันหายไปเห็นตัวเองนั่งอยู่บนเสลี่ยง แล้วมันลอยไปนะ ลอยไปเป็นควันไปหมดเลย แล้วสิ่งที่ร่างเหมือนพวกผี มันมีแต่มือพยายามจะเหนี่ยวรั้งไอ้เสลี่ยงอันนั้นไว้ นี่เขาก็นั่งมองมาตลอดนะ แล้วพอเขาฟื้นมาเขาก็มาถามว่านั่นคืออะไร? เวลาคนตายไปนะ คือคนสลบไป ไปเห็นอะไรต่างๆ นะก็มาถามว่าแล้วนั่นมันคืออะไร? เวลาคนตายก็ต้องตาย แต่คนตายไปแล้วทำไมมันฟื้นล่ะ?

ฉะนั้น ถ้าทางโลกต้องใช้คำว่าสลบ ถ้าบอกว่าตายแล้วฟื้นก็ต้องคุยกันอีกนานเลย มันเป็นไปไม่ได้หลวงพ่อ ถ้ามันตายไปแล้ว ไม่มีชีพจรแล้ว มันไม่มีอากาศหายใจ สมองมันก็ตายไปแล้วมันจะฟื้นมาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ทางการแพทย์เป็นไปไม่ได้ ทางการแพทย์ตายก็คือตาย ไม่ตายก็คือไม่ตาย แต่ถ้ามันเป็นอำนาจวาสนามันมีเหตุการณ์อย่างนี้ ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เราจะบอกว่ามีคนเป็น มีคนเป็นอย่างนี้แต่เขาอธิบายไม่ได้ แต่พอเวลาเราเป็น เห็นไหม นี่เพราะเราตรึกของเรามาตลอด ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ว่าชีวิตนี้มันมีสุข มีทุกข์ มันมีการเปลี่ยนแปลง เพราะมีการเปลี่ยนแปลง คนเรามันไม่ยึดติด

อย่างเช่นเรานะบางคนเกิดมาชาตินี้เราก็ต้องอยู่ของเรา สมบัติของเรา ทุกคนตระหนี่นะ เราก็เป็น เราเป็นนะ ตอนบวชใหม่ๆ เราตระหนี่มาก คือทุกอย่างบริขารจะหามาเองหมด แล้วเวลาไปบวช ตอนบวชนี่เป็นคนจริงไง ประกาศเลยบอกว่าบวชไม่สึก บวชไม่สึก ทีนี้คนที่เขาจะขอร่วมบุญด้วยนะเขาก็ซื้อมาร่วมบริขาร อู๋ย ไม่เป็นสุขเลย ไม่เป็นสุขเลย เพราะของนั้นจะเป็นของเราเอง เรื่องตระหนี่มันมีโดยธรรมชาติ แต่มันจะมีมาก มีน้อย หรือมีแล้วจะแก้ไขได้ไหม? ฉะนั้น พอบริขารคนอื่นเขาร่วมมาด้วย นอนคิดทั้งวันเลยนะ กว่าจะปลดปมนี้ได้หลายปีเลย นี่พูดถึงว่าเวลาที่จิตใจมันเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น เวลาเราตรึกในธรรม เราพิจารณาถึงความเป็นไปของชีวิต ความต่างๆ นี้คือจิตมันได้ทำงานแล้ว พอจิตมันได้ทำงานแล้วมีอำนาจวาสนาของคนนะ เวลามันเกิดแสง บอกว่าเวลามันเกิดแสงสว่าง ถ้าจิตมันลงมันจะเกิดแสงสว่าง เกิดความรู้สึก เกิดสิ่งที่ตัวเองรู้ ถ้าแสงสว่างนั้น มันมองสิ่งใดมันมีความสว่างไสวไปหมด แล้วมันเป็นอยู่อย่างนั้นได้หลายวัน

ถ้าเป็นอยู่อย่างนั้นได้หลายวัน เห็นไหม หลวงตาท่านพูดอยู่บอกว่าเวลาท่านอยู่ที่หนองผือ อยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรมนะจิตท่านรวมลง พอจิตท่านรวมลงนะมันสว่างอยู่ในจิต ๓ วัน ๓ คืน แต่นี้เพราะว่าท่านประพฤติปฏิบัติใช่ไหม? แล้วท่านพยายามรักษาจิตของท่านใช่ไหม? แล้วจิตนี่รักษาของมัน มันก็รักษาของมัน อย่างเช่นเราฝึกซ้อมกีฬา เราเก่งไปหมดเลย เราซ้อมได้ทุกอย่างเรียบร้อยหมดเลย แต่เวลาโค้ชมาโค้ชบอกว่าอย่างนี้ผิดๆ ต้องทำอย่างนี้ เทคนิคต้องเป็นอย่างนี้ๆ พอเราฝึกขึ้นไปเราดีกว่าเก่าเยอะเลย

ทีนี้หลวงตาท่านพิจารณาของท่าน ท่านภาวนาของท่าน ท่านก็ว่าท่านใช้ปัญญาของท่านถูกต้อง เวลาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเวลาเทศน์ขึ้นมา พอจิตมันได้ฟังเทศน์หลวงปู่มั่น สิ่งที่เป็นเทคนิค เป็นประสบการณ์ของใจที่มันต้องพัฒนาขึ้น พอฟังเข้า พอจิตมันไปเห็นเข้า มันพัฒนาขึ้น มันตื่นเต้น มันสว่างหมดนะ ท่านบอกว่าจิตนี้สว่างอยู่ ๓ วัน จิตดับไป ๓ วัน คือดับหมายความว่ามันไม่ออกรับรู้อะไรเลย มันอยู่ของมันอย่างนี้ ๓ วัน ๓ คืน อันนั้นเพราะว่าท่านปฏิบัติของท่านมา แต่ของเราเวลามันสว่างนี่มันเป็นไป แล้วมันไม่เป็นอีก มันไม่เป็นอีกเพราะอะไร? มันไม่เป็นอีกเพราะสิ่งที่มันทำมามันเป็นอำนาจวาสนา ธรรมเกิดๆ ไง มันไม่เป็นอริยสัจไง

ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมามันก็เหมือนบอกอำนาจวาสนา ถ้าสิ่งที่เป็นล่ะ? ถ้าสิ่งที่เป็น มันเป็นเพราะเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยที่เราทำของเรามา เราพิจารณาชีวิตประจำวันมา นี่แล้วมันก็มีอำนาจวาสนาอยู่ที่ใจของเรา แล้วมันสมดุลกันมันก็เกิดอาการแบบนี้ พอเกิดอาการแบบนี้เราเองกลับตื่นเต้นว่าคนเราต้องนอน ถ้าไม่นอนมันจะตาย ก็ไปเอายานอนหลับมากิน กินเพื่อให้มันได้พักผ่อน มันได้ต่างๆ

กรณีอย่างนี้มันมีอยู่ ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่งถ้าทางการแพทย์ เห็นไหม เวลาคนที่เป็นจิตเภท นี่จิตมันย้ำคิดย้ำทำจนขาดสติ พอขาดสติไปมันก็เป็นคนที่จิตเภท คือคนที่จิตผิดปกติ จิตที่ไม่มีการพักผ่อน หลุดไปเลย อันนั้นเป็นกรณีหนึ่ง แต่คนที่มีสติปัญญา เวลามันสว่างไสวนี่ผลของมัน ถ้ามันเป็นคนจิตเภท คำว่าจิตเภทคือว่าคนผิดปกติทางจิต พอผิดปกติทางจิต เวลาจิตเขามีการหลอน เห็นภาพหลอนมันจะคิดว่าตัวเองมันเห็นคุณงามความดี มันจะเป็นของมัน แล้วใครมาบอกจะโกรธมาก แต่ของเรานี่เรามีสติ เรามีสติว่าคนเราถ้าจิตมันไม่ได้พักผ่อน จิตมันไม่ได้นอนหลับมันจะอยู่ไม่ได้ เราก็หายานอนหลับมากิน เราก็หายาหยอดตามาหยอด

นี่เพราะอะไร? เพราะเราเอาความคิดของโลก เอาความคิดทางวิชาการ ทางการแพทย์มาเปรียบเทียบทางร่างกาย ทางสรีระนี้ แต่เวลาทางธรรมนะเขาวัดค่ากันที่หัวใจ หัวใจนะ ดูสิเวลาเข้าฌานสมาบัติ ๗ วัน ๗ คืนไม่กินข้าว อยู่ต่างๆ ทำไมอยู่ได้ เวลาครูบาอาจารย์เราอดอาหารนะ อดอาหารแล้วนั่งภาวนา นี่หลวงตาท่านนั่งตลอดรุ่ง แต่หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ตื้อท่านนั่งภาวนาทีหนึ่งหลายวัน หลายคืน ท่านนั่งของท่านได้อย่างไร?

จิตของคนที่ทำได้ นี่ทำได้อุกฤษฏ์มันมีที่ว่ามีอำนาจวาสนา เพราะหลวงปู่ตื้ออภิญญา ๖ หลวงปู่ตื้อรู้ไปหมด รู้เห็นไปหมดเลย แล้วเข้าใจได้ เพราะว่าหลวงปู่มั่นกับหลวงปู่ตื้ออยู่ที่ถ้ำเชียงดาว อยู่ที่ต่างๆ นี่ ท่านได้ภาวนามาร่วมกัน คนภาวนาก็เหมือนนักกีฬาที่เล่นมาด้วยกัน ทักษะ เทคนิคมันจะรู้ทันกัน

อันนี้ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาอันนั้นเป็นความจริง เราจะบอกว่าถ้ามันเป็นอำนาจวาสนา มันเป็นขึ้นมาแล้วเราไม่มีคำอธิบายเราก็งง แต่ถ้าเป็นทางโลกมันเป็นไปได้ถ้าจิตมันหลุด จิตมันมีแสงสว่างจนมันหลุดออกไป นั้นมันก็เป็นเรื่องผิดปกติทางจิต ก็ต้องไปหาจิตแพทย์ แต่ถ้าจิตเป็นปกติแต่เราหาคำตอบไม่ได้ เราก็เกิดวิตกกังวล เราก็มีความรู้สึกนึกคิดในใจมากๆ มันก็ทำให้เครียดได้

ฉะนั้น สิ่งนี้มันเป็นอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาเป็นเรื่องธรรมเกิด ฉะนั้น สิ่งที่ธรรมเกิดแล้วเราก็วางไว้ๆ เพราะมันบอกมา เช่นคนนิสัยดี คนพาล มันก็ออกมาจากความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน ทีนี้ถ้าเราจะเอาความดีขึ้นมา นี่เขาถามว่าสิ่งนี้คืออะไร? สิ่งนี้มันก็เป็นธรรมเกิดไง สิ่งที่มันสว่างขึ้นมา มันสว่าง มันรู้ มันสว่างมันแปลกประหลาด ร่างกายมันแข็งแรง มองอะไรมันสว่างไสวไปหมด นี่พูดถึงสว่างอย่างนี้นะ

เวลาหลวงตาท่านพิจารณาอสุภะจนจิตนี้มันปล่อยหมด จิตนี้มหัศจรรย์นัก มันสว่างไสว มันมองภูเขาเลากาทะลุไปหมด มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? เวลามองภูเขาเลากามันทะลุไปหมดเลย มันไม่มีสิ่งใดขวางไว้ได้เลย อันนั้นจิตที่มีคุณธรรม เห็นไหม นี่มันสว่างไสว สว่างไสวเกิดจากอะไร? เพราะนี้มันเป็นขั้นของ นี้มันเป็นเรื่องอริยสัจ เรื่องอนาคามิมรรค เวลาพิจารณาอสุภะไป แต่ของเรามันสว่างไสวด้วยคุณสมบัติ มันสว่างไสวด้วยคุณสมบัติ แต่หลวงตาบอกว่าจิตนี้มหัศจรรย์นัก มันเป็นได้หลากหลายนัก แต่ของเราพอมันสว่างนะ จิตนี้เป็นอะไร?

นี่มันสว่างไสวแต่ตัวเองงง ตัวเองสงสัย แต่ถ้าคนมีคุณธรรมนะ มันสว่างไสวแล้วหัวใจไม่สงสัย หัวใจมันรับรู้ หัวใจมันแก้ไข หัวใจมันได้ชำระล้าง มันยิ่งสว่างไสว มันยิ่งมีสติปัญญา มันยิ่งมีสติสัมปชัญญะ มันไปตามคุณธรรม แต่ไอ้สว่างไสว สว่างไสวนี่มันหลายชั้นนัก อย่างเช่นรวมใหญ่ๆ รวมใหญ่คืออัปปนาสมาธิ ถ้ารวมใหญ่นี่เป็นสมาธิ แต่ถ้าการพิจารณาโดยวิปัสสนา เวลารวมใหญ่ กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส นั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ นี่การปฏิบัติมันถึงว่า ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีประสบการณ์ท่านจะแบ่งแยกตรงนี้ได้

ฉะนั้น ถามว่า

ถาม : แสงสว่างๆ นี้คืออะไร?

ตอบ : แสงสว่างนี้มันเป็นสิ่งที่มันเป็นธรรม เป็นคุณธรรม เป็นอำนาจวาสนาบารมีของเราแล้ววางไว้ วางไว้หมายความว่าเราที่นั่งกันอยู่นี้เราเคยเป็นเด็กมาก่อนไหม? เป็น แล้วเราสงสัยในความเป็นเด็กนั้นไหม? นี่ถ้าเรามีสติปัญญาเราก็ไม่สงสัย ถ้าเราสงสัยแล้วเราจะกลับไปเป็นเด็กอีกไหม? ไม่มีทาง เราจะกลับไปเป็นเด็กอีกได้ชาติหน้าคือไปเกิดใหม่ ฉะนั้น สิ่งที่สว่างไสวมันผ่านมาแล้ว มันผ่านมาแล้ว แล้วเราไปวิตกกังวลหรือไปยึดติดตรงนั้นคืออารมณ์ที่เป็นทารก เป็นเด็ก มันไม่โตขึ้นมา แต่ถ้าเราเป็นเด็ก เราเคยเกิดเป็นเด็กใช่ไหม? เราเคยผ่านการเป็นเด็กมาก่อน พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาดี เรามีอำนาจวาสนา อันนั้นคือบุญของเราก็ผ่านมาแล้ว

จิต จิตมันได้เห็นแสงสว่าง เห็นต่างๆ มันก็ได้เห็นที่ผ่านมาแล้ว เราไม่กลับไปติดว่าเราจะต้องกลับไปอยู่ในสถานะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลามันเปลี่ยนมาแล้ว แต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ไปข้างหน้านั้นคือในการปฏิบัติเรานี่แหละ สิ่งที่สว่างไสว ถ้าจิตมันพุทโธ พุทโธ พุทโธ จิตมันสงบลง จิตมันรู้ของมัน ถ้ามันสว่างของมันก็สว่าง ถ้ามันพุทโธ พุทโธ ถ้าจิตมันลงแบบสมาธิแต่ไม่มีแสงสว่าง มันก็ไม่มีแสงสว่างแต่จิตรู้ ถ้าจิตรู้นะแล้วเราก็กลับมาพิจารณาแบบที่ทำมาตั้งแต่ครั้งแรกนี่แหละ ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ที่ ๒ ที่เราพิจารณาถึงความทุกข์ พิจารณาอย่างนี้เหมือนกันนี่แหละ แต่พิจารณาโดยที่มีสติ มีสมาธิ

สิ่งที่พิจารณาอย่างนี้ปั๊บมันลงก็สว่าง คือมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้าเราพิจารณาของเราต่อไปถ้าเป็นสมาธิแล้วนะมันจะเป็นอริยสัจ มันจะเป็นมรรค มรรคเพราะอะไร? เพราะมรรคมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริงที่บอกว่า ถ้ามีสมาธิพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมเป็นสติปัฏฐาน ๔ ถ้าไม่มีสมาธิมันพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมด้วยสามัญสำนึก ด้วยความรู้สึกนึกคิดนั่นเป็นโลก

สติปัฏฐาน ๔ จริง สติปัฏฐาน ๔ ปลอม สติปัฏฐาน ๔ ปลอม มันปลอมเพราะเป็นสมมุติไง มันเป็นสมมุติ มันเป็นความรู้สึก เป็นความสามัญสำนึก นี่มันเป็นโลกๆ นี่มันถึงเป็นของปลอม ของปลอมเพราะมันแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าของจริง ของจริงเพราะจิตมันสงบแล้ว จิตมันมีปัญญาของมัน มันพิจารณาของมัน มันถึงจะเป็นของจริง ถ้าเป็นของจริงมันจะแก้กิเลสได้จริงๆ นี้เราทำมาข้างนอก มันทำมาๆ มันเป็นสมมุติ เพราะเราไม่มีสติปัญญาสามารถจะดูแลได้ มันเลยเป็นทางโลก ถ้าเป็นทางธรรม ทำให้เป็นความจริงมันจะเป็นทางธรรม ถ้าทางธรรมแล้วมันจะเป็นประโยชน์ไง

ทีนี้คำถาม

ถาม : เหตุประหลาดที่เกิดขึ้นคือผลของการที่โยมพิจารณาธรรมะอยู่เสมอ ถ้าจะเรียกว่าเป็นปัญญาอบรมสมาธิใช่ไหมคะ?

ตอบ : มันก็ใช่ มันใช่แหละ แล้วที่แสงสว่าง ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นสุกขวิปัสสโก ถ้าใช้ปัญญาคือสงบไปเฉยๆ ไอ้เรื่องแสงสว่างส่วนใหญ่ไม่ค่อยเกิด นี่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินะมันสงบลง คือมันมีสติมีสมาธิแล้วมันจะวาง วางแล้วมันมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่มันไม่ค่อยสว่าง ไอ้สว่างๆ ส่วนใหญ่พุทโธ พุทโธ ไอ้พวกสว่างๆ เกิดจากพุทโธ จะเป็นเจโตวิมุตติ เพราะกำลังของสมาธิมันถึงจะสว่าง แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิไม่ค่อยสว่าง แต่ถ้ามันเป็นสว่างขึ้นมาอย่างนี้ได้แสดงว่าอำนาจวาสนา นี่เราพูดถึงอำนาจวาสนาไง แต่ถ้าถามว่า

ถาม : มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิใช่หรือไม่?

ตอบ : มีส่วน ใช้ได้

ถาม : หลังเกิดเหตุการณ์ประหลาดหายไป ต่อมาโยมได้ติดเชื้อโรค

ตอบ : นี่ที่ว่าเป็นเชื้อโรคฉี่หนูต่างๆ เวลาทำดีมันก็เป็นดี เวลากรรมมันมาให้ผล เห็นไหม กรรม นี่เวลากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน สิ่งที่มันมีเหตุการณ์ต่างๆ มันก็มาเตือนเราไง เตือนเราให้เอาเหตุการณ์นั้นมาเป็นเครื่องดำเนิน ฉะนั้น สิ่งที่หมอรักษา รักษาแล้วตอนนี้เบลอหรืออะไรนี่ก็ต้องแก้ไข

ถาม : สติแทบทำงานไม่ได้เลยเป็นปี

ตอบ : ฝึกหัดขึ้นมา กรรมดีให้ผลดี ถ้ากรรมสิ่งที่เราเคยทำสิ่งผิดพลาดไว้อย่างไรมันก็จะให้ผลเหมือนกัน ให้ผลแตกต่างกัน ให้ผลต่างสถานที่ ต่างวาระ ต่างการกระทำ แต่มันก็ให้ผลเหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่แสงสว่างนั้นมันก็เป็นประสบการณ์ สิ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยจนเบลอไปเป็นปีๆ มันก็เป็นการบอก มันเตือนเรา นี่เหรียญมีสองด้านทั้งบวกและลบ ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน เวลาคิดดี ทำดีมันก็เป็นผลดี เวลากรรมมันให้ผลขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่อยากเป็นมันก็เป็น

ฉะนั้น เวลานั่งสมาธิ ภาวนาไป บางคนภาวนาแล้วจะเป็นปกติไม่ค่อยมีสิ่งใดเลย บางคนภาวนาไปแล้วจะมีอุปสรรคมาก ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย จะมีอุปสรรคมาตลอดเลย แต่ถ้าทำดีได้ดีก็คือทำดีได้ดีของเรา ฉะนั้น ถ้าทำมาอย่างนี้ นี้คือสิ่งที่เราได้ประสบมาในชีวิตนะ แล้วถ้าต่อไปในปัจจุบันนี้คือเรามีสติ มีปัญญาแล้ว สติของเรา เห็นไหม ปัญญาของโลกเขาหาทรัพย์สมบัติไว้เพื่อการดำรงชีวิต ปัญญาในพุทธศาสนาคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

นี่สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ความคิด ความปรุง ความแต่งเกิดจากจิต ปัญญาที่รอบรู้จิต ปัญญาที่รักษาหัวใจของเรา รักษาจิตของเรา แก้ไขจิตของเรา พอหายสงสัยแล้วจะไม่ถามเรื่องนี้ การถามเรื่องนี้มันเป็นเบสิก เป็นพื้นฐานของจิต จิตของคนเป็นนามธรรม เกิดมาเป็นมนุษย์มันสร้างเวร สร้างกรรมมา เห็นไหม อย่างคนที่ว่าสลบๆ ไป คนตายแล้วฟื้นก็มีเยอะ คนตายแล้วไม่ฟื้นเลย ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ตายก็คือตายเลย แล้วตายแล้วฟื้น นี่เพราะในพระไตรปิฎกก็มี หรือครูบาอาจารย์ที่ประสบมาก็มี ที่แบบว่าเวลายมบาลมาเอาคนเป็นไป เอาผิดคน ชื่อเดียวกัน ตอนนี้เวลาแจ้งหนี้ไง เวลาแจ้งหนี้ เห็นไหม ธนาคารเวลาทวงหนี้ ชื่อเหมือนกัน นามสกุลเดียวกันเลย แต่คนละคน ทวงหนี้ไปแล้วเขาบอกว่าเขาไม่เคยเป็นหนี้

นี่ก็เหมือนกัน เวลายมบาลมาเอาผิดคนไปเขาก็เอามาคืน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเขาไปแล้ว เขากลับมาเขาจะรู้ของเขา เพราะว่าจะตอบให้มันตายตัวไปสิ่งใด เพราะเวลาเราพูดถึงกรรมเป็นอจินไตย อจินไตย ๔ ถ้ากรรมนะ กรรมตายตัวจะเกิดพระอริยบุคคลไม่ได้ จะเกิดโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี หรือพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะเกิดมามีกรรม กรรมต้องให้ผลตายตัว เวลากรรมนี่ให้ผลแน่นอน แต่เวลามันพิจารณาไปแล้ว นี่เวลาสังโยชน์มันขาดไปแล้ว

ดูสิดูเวลาพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์นะ นี่กรรมที่เคยทำร้ายแม่ไว้ตามมาให้โจรมาทุบพระโมคคัลลานะ แต่ก็ทุบได้แต่ร่างกายนี้ ไม่สามารถสะกิดใจของพระโมคคัลลานะได้ เพราะพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น กรรมถึงเป็นอจินไตย กรรมถึงนี่มันให้ผลแน่นอน แต่คำว่าอจินไตยมันเปลี่ยนแปลง มันลึกซึ้ง ลึกลับจนเราไม่สามารถที่จะเอามาพูดเป็นทางโลก เป็นวิทยาศาสตร์ว่ากรรมต้องตายตัวอย่างนั้น กรรมนี่มันแก้ไขได้ แต่แก้ไขด้วยการภาวนา

นี้พูดถึงว่าให้อธิบายไง นี่เราพยายามจะอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาพยายามจะหาเหตุผลมาแสดง แล้วต่อไปเราก็ต้องทำความดีของเราเป็นอริยสัจ สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ของจิต แล้วถ้าจิตมันมีพื้นฐานเรากระทำของเราไปนะ ทำของเราด้วยมัชฌิมาปฏิปทาคือจิตที่เป็นกลาง ไม่เข้มแข็งจนร่างกายนี้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่อ่อนแอจนปฏิบัติไม่ได้ แล้วทำของเราไป พอจิตมันสมดุลของมันแล้ว ร่างกายนี้เป็นแค่พื้นฐาน ร่างกายนี้เป็นที่อยู่อาศัยของจิต จิตที่มันพัฒนาแล้วมันจะไม่มากดถ่วงใจดวงนี้ แล้วถ้าจิตที่มันดีแล้วมันกลับมา กลับมาซักฟอก

ซักฟอก เห็นไหม ธรรมโอสถรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย รักษาความสึกหรอของร่างกายที่ได้นั่งมาก ที่ได้เดินมาก จิตมันกลับมารักษาความสึกหรอ มันจะภาวนาไปได้ราบรื่นเลยถ้าจิตมันดีแล้ว แต่ถ้าจิตมันไม่ดีนะ เริ่มต้นจิตก็ไม่ดี จิตไม่ดีคือจิตมันมีความเครียด มีความกดดันตัวมันเอง แล้วนั่งภาวนาไปร่างกายก็แย่ จิตใจก็แย่ มันไม่มีอะไรสมดุลรักษากันเลย ถ้าทำจิตให้เราดีนะ แล้วร่างกายมันสึกหรอเดี๋ยวเรามาแก้ไขกัน เดี๋ยวเรามาทำให้มันปกติขึ้นมา มันจะเป็นของมันได้

จบ ตอบได้ข้อหนึ่ง ติดปัญหามานาน

ถาม : ๑๑๕๐. เรื่อง “ประเคน” (เขาถามนะ)

กระผมขอถามว่าผู้หญิงประเคนบาตรพระจะผิดวินัยไหมครับ

ตอบ : ผู้หญิงประเคนบาตรพระไม่ผิด ประเคน องค์ของประเคน หัตถบาส อยู่ในหัตถบาส ผู้หญิงหรือผู้ชายประเคนเหมือนกันหมด องค์ของประเคนไม่เลือกหญิงหรือเลือกชาย องค์ของประเคนนะ การประเคนไม่เลือกหญิงหรือเลือกชาย ผู้หญิงก็ประเคนได้ ผู้ชายก็ประเคนได้ถ้าประเคนถูกต้อง

ฉะนั้น ถามว่า

ถาม : ผู้หญิงประเคนบาตรพระจะผิดวินัยไหมครับ

ตอบ : ไม่ผิด ไม่ผิด ถ้าประเคนนะ แต่ทีนี้ผู้หญิงกับพระมันมีตรงนี้ไง มีเรื่องลับหูลับตา ถ้าผู้หญิงประเคนบาตรพระแล้วไม่ลับตา หมายความว่าพระ ๒ องค์ขึ้นไป หรือพระมีอยู่ ประเคนไม่มีวันผิดเลย ไม่ผิด แต่ถ้าอยู่กันตัวต่อตัวลับตา เพราะไม่มีบุคคลที่สาม นี่มันไปติดขัดตรงนั้นไง แต่ถ้าถูกต้องนะ ถ้าไม่ลับหูลับตา ผู้หญิงประเคนไม่ผิด

นี่ถามว่า

ถาม : ผู้หญิงประเคนบาตรพระจะผิดวินัยหรือไม่?

ตอบ : ไม่ แต่มันจะไปผิดข้ออื่น ข้ออนิยต ๒ ข้อสิ่งที่ว่าเป็นที่ลับหูลับตา แต่ถ้าไม่มีลับหูลับตาไม่ผิด ผู้หญิงก็ประเคนได้ ผู้ชายก็ประเคนได้ เพราะองค์ประเคนมี ถ้าผู้ชายก็รับด้วยมือ ถ้าผู้หญิงก็รับด้วยสิ่งที่เนื่องด้วยกาย เนื่องด้วยกายคือใช้ผ้ารับ นี่คือองค์ประเคนไง ประเคนเพราะผู้หญิงต้องรับสิ่งที่เนื่องด้วยกาย แต่ถ้าเป็นผู้ชายรับได้เลย

ฉะนั้น สิ่งที่ถามว่า

ถาม : ผู้หญิงประเคนบาตรพระผิดหรือไม่?

ตอบ : ไม่ผิด แต่ถ้ามันจะผิดมันไปผิดข้ออื่น ถ้ามันข้ออื่น ถ้าไม่ลับหูลับตาไม่มีสิ่งใดไม่มีอะไรผิดเลย เพราะสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ไง

ฉะนั้น

ถาม : ผู้หญิงประเคนบาตรพระผิดไหม?

ตอบ : ไอ้ที่ถามมานี่มันแปลกๆ อยู่ ฉะนั้น ตอบเท่านี้ เพราะว่าตอบมากเกินไป อธิบายมากเดี๋ยวโยมจะงง เอวัง